My photo
ผู้หญิงตัวกลมๆ หลากหลายอารมณ์ให้ค้นหา

Thursday, January 26, 2012

ของเล่นใหม่

     วันนี้ขออวดของเล่นอันใหม่ที่บิดมาได้จากอีเบย์  เป็นมือใหญ่หัดบิดก็เลยเริ่มบิดจากของราคาไม่แพงก่อนเพราะไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง จนไปเจอไม้นิตวงกลมแต่เป็นสแตนเลส เกิดมาไม่เคยเห็นของจริง ไม่รู้ว่าตอนใช้มันเป็นยังไงจะรูดปรื๊ดๆ หรือเปล่าหรือว่าถักไปติดไป ความสงสัยและอยากรู้ก็เลยเกิดขึ้น เห็นราคาบิดไม่แพงไม่ถึงเหรียญเอง แถมใกล้หมดเวลาแล้ว แต่ค่าส่งจากจีนมานี่รวมแล้วก็เกือบๆ เจ็ดเหรียญ ก็เลยเอาก็เอาสนองตัณหาความอยากหน่อย พอได้ก็ดีอกดีใจแต่กว่าจะส่งมาถึงอลาสก้าล่อไปสองอาทิตย์กว่าๆ ความอยากก็เริ่มหาย จนของมาถึงบ้านเราก็ไม่ได้สนใจจะเปิดดูคุณสามีเลยต้องเปิดดูให้ ดันกลายเป็นว่าของที่ส่งมานั้นผิดแบบ เขาดันส่งแบบไม้ไผ่มาให้  เราก็เริ่มเอ๋อๆ มันนานแล้วนะชั้นก็ลืมๆ ว่าสั่งแบบไหนแต่จำได้ว่าไม่เคยสั่งแบบไม้ไผ่ต้องไปรื้อข้อมูลเก่ามาดูและเทียบจนรู้ว่าผิดจริงๆ คุณสามีก็จัดการเมล์ไปบอกคนขายๆ ก็เช็คและขอส่งของใหม่มาแทน เราก็สงสารถามว่าจะเอาเงินเพิ่มไหมเพราะกลัวเขาขาดทุน เขาก็ว่าไม่เป็นไร
      สรุปเขาก็ส่งของใหม่ที่ถูกต้องมาให้  สมใจอยากและโชคดีได้ของฟรีอีกชุด แต่กว่าจะได้ของครบก็ปาไปเดือนเต็มๆ ไอ้โครงการพันแปดร้อยล้านที่ตั้งไว้ตอนเห่อก็เริ่มหดหาย ตอนนี้เลยได้แต่นั่งมองมันไปก่อน
 
 อันนี้คือของที่บิดได้

ส่วนที่เหลือคือที่เขาส่งมาผิด

    ไม่รู้ว่าใครเคยใช้ไม้นิตแบบสแตนเลสมั้ง มันใช้ดีจริงไหมและของจากจีนนี่คุณภาพเป็นไงมั้ง แต่ราคามันถูกมากกกกกกก





ดวงตาหนู

     ต้นเดือนไปรักษาฟันเมื่อวานก็เลยไปตรวจตา ทุกอย่างทำเพราะความจำเป็นและจำใจต้องทำเนื่องจากคอนแทกเลนส์หมดมาเกือบเดือนแล้ว ตอนแรกจะบอกให้พี่สาวส่งมาให้จากเมืองไทยแต่คิดแล้วค่าคอนแทกเลนส์กล่องห้าร้อยกว่าๆ สองกล่องก็พันแถมค่าส่งอีกก็เลยคิดว่าทำที่นี่ดีกว่า  อีกอย่างได้ตรวจสายตาไปในตัวว่ามันมีอะไรผิดปกติไหม เมื่อคิดแบบนั้นก็ยอมทำนิสัยไม่ดีใช้เลยอายุมาเดือนนึง อันนี้ไม่ดีเท่าไหร่แต่ไปถามจักษุแพทย์แล้วเขาบอกว่าได้แค่ทำความสะอาดให้ดีหน่อยแล้วกัน และให้รอประกันจะได้ไม่ต้องจ่ายเยอะเราก็ยอม
     รอๆๆๆๆๆ จนได้ประกันสำหรับตามา ก็เลยจัดการนัดแต่ที่นี่ก็คิวเยอะมากแถมไอ้ที่จะรับประกันก็ไม่ได้ทุกที่ จนไปได้คิวอีกเมืองนึงซึ่งต้องขับรถไปประมาณยี่สิบนาทีก็เลยเอาก็เอา จะไปที่เก่าตรงนั้นเขาไม่รับประกันของบริษัทนี้ เรื่องของประกันนี่เยอะแยะจริงๆ ถ้าอยู่เมืองใหญ่ๆ คงไม่ใช่ปัญหาแต่บริษัทที่สามีทำงานมันมีบริษัทแม่อยู่ซีแอตเติล ดังนั้นอะไรๆ มันก็จะครอบคลุมทางนั้นหมด พอจะใช้ที่อลาสก้าต้องตระเวนหาว่าตรงไหนมันรับมั้ง หลายเรื่องหลายราวชีวิตบ้านนอกก็งี้้แหละ
     ใช้เวลานัดหนึ่งอาทิตย์ถ้าเป็นบ้านเรานะเหรอเดินเข้าร้านขายแว่นตาก็ได้เลยไม่ต้องเสียเวลาขนาดนี้  ไปถึงก็รอแป๊บนึงเพราะมีคิวก่อนหน้าเรา เราก็ด้อมๆ มองๆแว่นตาใหม่เพราะอันเก่าใช้มาสิบกว่าปีแล้ว และตรงขามันเป็นแบบบางๆพอใส่นานๆ มันเป็นรอยกดทับ เลยอยากเปลี่ยนใหม่เป็นที่ขามันใหญ่สักหน่อยน่าจะดีเห็นคนเขาใส่กันเยอะด้วย
      แต่ตอนไปถึงก็กรอกเอกสารต่างๆ และยื่นบัตรประกันให้เขาก๊อปปี้และเช็คว่าประกันจ่ายไรให้เรามั้ง สรุปออกมาประกันจ่ายคอนแทกส์เลนส์แค่ $95 เหรียญ จ่ายค่ากรอบแว่น $130 และจ่ายค่าเลนส์อีกเท่าไหร่จำไม่ได้แต่ไม่มาก คือมันน้อยจนแบบเอ๋อออไปเลย แต่ทำไงได้มาแล้วก็ตัดใจทำ  
     ตอนตรวจหมอก็ดีมากกกกกกก น่ารักสุดๆ ใช้เวลาตรวจยี่สิบนาทีได้และก็ให้ลองคอนแทกเลนส์ตัวใหม่ เห็นว่ามันชุ่มชื้นกว่าตัวที่เราชอบเราก็เลยลองดูเพราะอากาศที่นี่มันแห้งมาก มันน่าจะดีกว่าสำหรับตาเรา
     พอกลับออกมาเราก็ดูแว่นตาก็เลือกแบบที่ต้องการ เลือกเลนส์ที่จะใช้คุณสามีก็ไปชอบเลนส์ตัวนึงที่เขาว่ามันไม่ค่อยเป็นฝ้าเวลาอากาศเปลี่ยน และดีเวลาใช้กับคอมฯ ก็เลยเลือกตัวนั้น สรุปเบ็ดเสร็จเสียไปทั้งหมด $403 เหรียญ เลยงงงงงงง
แต่ก็จ่ายไปแบบงงๆ  เพราะคิดว่าแว่นยังไงก็คงใช้เกินสิบปี  ส่วนคอนแทกเลนส์นี่ที่สั่งไปแค่ครึ่งปีเองเพราะราคาแพงแต่ขี้เกียจไปหาที่อื่นแล้วให้มันเสร็จๆ ไปเลยทีเดียว แต่ก็คิดว่าสำหรับที่นี่คงเป็นครั้งเดียวและสุดท้ายเพราะไม่ค่อยชอบบริการของพนักงานเท่าไหร่อีกทั้งสินค้าค่อนข้างแพง หรือว่ามันแพงทุกที่ก็ไม่รู้นะ








Wednesday, January 25, 2012

ใครหิวมาทางนี้

     วันนี้ไม่รู้อารมณ์ไหนเหมือนกันแต่ทำกับข้าวเยอะมาก พอทำเสร็จก็คิดว่าคงไม่เป็นไรทำแล้วก็เก็บแช่เย็นเอาไว้กินมื้ออื่นได้ วันไหนขี้เกียจกลับจากทำงานก็แค่เอามาอุ่นกิน พอคิดได้แบบนี้ก็เลยยิ่งทำไม่หยุด ขอบอกว่านี่คือกับข้าวที่ทำวันนี้ทั้งหมด

 มาเริ่มด้วยหมูผัดคะน้า

ต่อมาก็ไข่เจียว

แกงส้มหัวปลาแซลมอนกับหน่อไม้ดอง แอบใส่ถั่วฝักยาวไปด้วย

ผัดเผ็ดกบ เผ็ดๆร้อนๆ จนลิ้นห้อย ภาพอาจจะน่ากลัวไปสักนิดสำหรับคนไม่กินเพราะหนูไม่ได้ทอดกบเนื่องจากกลัวเนื้อหายหมด

ปิดท้ายด้วยแกงอ่อมไก่  เมนูนี้ถือเป็นเมนูเก็บกวาดผักในตู้ที่เก็บๆ ไว้ 
ตอนแรกจะทำต้มจับฉ่ายแต่ก็เบื่อแล้วเลยเอาแกงอ่อมนี่แหละสะใจดี 
แต่ต้องลงทุนซื้อผักชีลาวไม่งั้นมันไม่เป็นแกงอ่อม








Thursday, January 19, 2012

ชวนไปหนาวกันดีกว่า

    เมื่อวานมีนัดกับหมอฟันอีกรอบเพื่อไปตรวจฟันที่ถอนว่ามีปัญหาอะไร ไปถึงก็คุยกับผู้ช่วยสาวสวยคนเดิม เราก็รีบบอกเขาว่ามีปัญหาเรื่องขากรรไกร เวลาอ้าปากยังปวดๆ อยู่เคี้ยวก็ยังไม่สะดวกดีอยากได้ยาช่วย เพราะยาที่ให้ไปคราวก่อนหมดแล้ว เธอก็บอกได้ๆ สักพักเธอกลับมาบอกว่าหมอคนที่ดูแลเราเขาไม่อยู่มีแต่หมออีกคนที่จะมาตรวจแทน เราก็ไม่ว่าไร
     สักพักหมอเข้ามาอยากจะบอกว่าขอหมอคนเก่ากลับมาได้ไหม คนเก่ายังดูอารมณ์ดี ขี้เล่น พูดจายิ้มแย้มแจ่มใส แถมยังหนุ่มกว่า แต่หมอคนนี้มามาดนิ่งๆ แบบคนมีอายุแล้วง่ะ คือหนูกลัววววววววว บรรยากาศจากที่สดใสกลายเป็นหดหู่ลงทันทีอันนี้คิดเอาเองนะ  แบบเวอร์นะคะ
     แล้วหมอก็ถามว่าเป็นไงมั้ง เราก็บอกไปว่าว่ายังปวดเวลาอ้าปาก กับเคี้ยวและชี้ๆ ตรงขากรรไกร หรือกรามนี่แหละให้หมอดู หมอก็บอกว่างั้นก็อ้าปากแบบไม่ต้องกว้างมากนัก แล้วก็เอาเครื่องมือส่องดูได้สักสองนาทีได้มั้ง  แกก็บอกว่าแผลดีแล้ว ไหมละลายแล้ว (ไอ้คำว่าไหมละลายนี่ฟังไม่รู้เรื่อง) ต้องถามย้ำอีกที จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องอีกนั่นแหละว่าศัพท์มันว่าอะไร แต่ก็ถามเขาว่าใช่ไอ้ที่เขาเย็บไว้ข้างในใช่ปะ ผู้่ช่วยก็บอกว่าใช่ it gone เราก็ถึงบางอ้อ
      แล้วเรื่องยาหมอก็บอกว่ายากินยาตัวนั้นเลย กลัวมีปัญหาเรื่องกระเพาะ บอกให้ไปซื้อ Advil มากินแทนจะช่วยได้ เราก็เยส โน โอเค ตามประสาเอ๋อๆ นั่นแหละ ส่วนเรื่องอาหารก็ให้กินอาหารอ่อนๆ หรือพวกอาหารไดเอท ซึ่งนั่นคงไม่ใช่หนูแน่นอน เพราะอดอยากมานานยังไงวันนี้ต้องต้มเฝอกินให้ได้ ไม่งั้นคงเสี้ยนตายคาบ้าน หลังจากหมอออกไปผู้ช่วยก็บอกว่าฟันเรายังมีปัญหาบางซี่แต่ไม่เยอะ คือมันผุนิดหน่อย และต้องมาคลีนเผื่อความสะอาดของช่องปาก  เขาถามว่าจะนัดเลยไหมเราก็บอกไปว่าให้หายจากตรงนี้ก่อนแล้วกัน  เดี๋ยวจะให้สามีโทรมานัดอีกที ตอนนี้ยังไม่พร้อม เขาก็บอกได้ไม่มีปัญหาและบอกว่ากลับบ้านได้แล้ว ไม่ชาร์ทค่าตรวจสำหรับวันนี้  เราก็เลยเดินออกไปหาคุณสามีที่นั่งรออยู่ข้างนอก
      พอเสร็จจากตรงนี้ก็เห็นว่าแดดกำลังดี  แม้จะหนาวมากกกกกกก เลยบอกคุณสามีว่าพาลูกๆ ไปเที่ยวดีไหม จริงๆ แล้วแม่มันแรดอยากเที่ยวเองนะแต่อ้างลูก  คุณสามีก็เลยพาออกไปขับรถเล่นริมทะเล ขอบอกว่าหนาวสุดๆ เพราะไม่ได้เตรียมถุงมือกันมา แค่จับกล้องได้สองนาทีก็ต้องรีบเอามือซุกกระเป๋าแล้ว
ตากล้องกระจำตัว ประจำใจ อิอิ
ตัวนี้ลูกสาวสุดสวย กลมเหมือนแม่
นี่ลูกชายสุดหล่อประจำบ้าน
ขากลับบ้าน มูสมาเดินหาอาหารในเมือง













มากินเฝอมั่วๆ กันนะ

     ก๋วยเตี๋ยวก็เคยต้มมามั้งแล้ว ผิดๆ ถูกๆ ก็ทำไปตามประสา คราวนี้ลองมาทำเฝอกินเองที่จริงอยากไปนั่งกินสบายๆ ที่ร้านแต่คุณสามีไม่อยากไปกินเฝอเท่าไหร่นักเราก็ทำกินเองก็ได้ กินให้มันเบื่อไปเลย
    ทำเฝอก็ต้องมีเครื่องเฝอ  เขาว่าเอาเครื่องเทศซองนี้ไปคั่วให้หอมแล้วใส่เวลาต้มน้ำซุปจะได้กลิ่นเหมือนจริง ซื้อติดบ้านมานานนมเลยได้โอกาสใช้ก็วันนี้แหละ พอคั่วเสร็จมันจะมีถุงให้ใส่สำหรับโยนใส่หม้อน้ำซุปเลย สะดวก สบาย

     ส่วนผสมน้ำซุปก็แล้วแต่บ้านใครชอบรสไหน แบบไหนก็ทำกันตามใจ ใครจะเพิ่มอะไรเข้าไปอีกก็ตามสบาย แต่ที่บ้านมีแต่ไอ้ซองนี้ กับกระดูกหมูที่ซื้อมาจากร้านคราวก่อนก็เอามาใช้ทำน้ำซุปได้อร่อย ปกติเฝอจะนิยมใช้เนื้อวัวแต่หนูไม่ค่อยกินเนื้อวัวสักเท่าไหร่ คือกินได้แต่ไม่เคยซื้อติดบ้าน ถ้ากินข้างนอกจะไม่มีปัญหาฟังดูเหมือนจะแปลกๆ ไหมคะ
     พอต้มได้ที่แล้วก็ได้เวลากิน  อุปกรณ์ก็บอกแล้วว่าใช้ของที่มีในบ้านดังนั้นในบ้านมีแค่เส้นหมี่ขาวค้างปี กับผักโขมซื้อมาเกือบสองอาทิตย์แล้วยังไม่ได้ทำไรเลยได้โอกาสเอามาใช้งาน
     จริงๆ น่าจะเรียกก๋วยเตี๋ยวมากกว่าเพราะอุปกรณ์ดูแล้วมันพิลึกไปสักนิด แต่ทำไงได้ของมันมีแค่นี้จริงๆ จะให้ไปลงทุนซื้อถั่วงอก โหระพา เส้นเล็ก ผักชี มันก็สิ้นเปลืองดังนั้นใช้ของเท่าที่มีแหละ ถือว่ากินได้เหมือนกัน เอาแค่น้ำซุปรสชาติเหมือนก็พอแล้ว (อันนี้อย่าทำตามนะคะ เพราะบางคนกินแบบมั่วๆ แบบนี้ไม่ได้พาลจะต้องทิ้ง)
    แล้วมาถึงขั้นตอนสุดท้าย เตรียมตัวกินกันได้เลย

     งานนี้อิ่มจนจุก เรียกว่ากินจนหายอยากไปเลย




Wednesday, January 11, 2012

ฟันสมชื่อ

     ถ้าพูดถึงการไปหาหมอฟันน้อยคนนักจะชอบ เพราะรู้ๆ อยู่ว่าสิ่งที่ตามมาคือต้องเสียว เจ็บ และมีกระเป๋าฉีกกันบ้าง ยิ่งหมอฟันในอเมริกาด้วยแล้วไปทีก็ต้องคิดก่อนไปหลายรอบถึงแม้จะมีประกันอยู่ก็ตาม  ถ้าไม่มีประกันขอแนะนำว่ากลับไปทำฟันบ้านเราดีกว่าถูกกว่า แถมคุยกันเข้าใจ
     เริ่มแรกการไปหาหมอฟันของหนูก็เริ่มจากการไปขูดหินปูนแบบทะลุทะลวงทุกซอกทุกมุมก่อนเมื่อปีที่แล้ว และก่อนที่จะขูดหินปูนเขาก็มีการเอกซเรย์ฟันทั้งหมดว่าตรงไหนมีปัญหาอะไร การขูดหินปูนที่นี่ขูดได้สะอาดล้ำลึกมากจริงๆ แถมขูดทีละข้างคือต้องไปกันวันละข้างเท่านั้นมันไม่เหมือนกับขูดบ้านเราที่ไปวันเดียวเสร็จหมดทั้งปาก ใครอยากรู้ว่าสะอาดยังไงก็ลองไปดูได้ ซึ่งแต่ละอย่างที่เขาทำให้เราเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้นจำได้คร่าวๆ ว่าประมาณ $200 - 300 เหรียญในการทำทุกอย่างตั้งแต่เริ่มเอกซเรย์จนถึงขูดหินปูนเสร็จ แต่ถ้ามีประกันรู้สึกว่าจะเสียไม่กี่เหรียญหรือแทบไม่เสียเลย ตอนนั้นก็ลืมจดเอาไว้
     คราวนี้ผ่านมาเป็นปีก็ตัดสินใจที่จะเอาไอ้ฟันคุดเจ้าปัญหาออก ก็จัดการนัดหมอก่อนเป็นอันดับแรก คิวหมอฟันที่นี่ก็แน่นจริงๆ แทบจะไม่มีเวลาว่างหรือที่ว่างก็ไม่ตรงกับเวลาว่างของเรา วันนี้พอไปถึงก็เอาเอกสารประกันต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่ที่เคาเตอร์ดูเขาจะได้เช็คยอดถูก  พอถึงเวลาพบหมอๆ ก็จะให้ผู้ช่วยมาคุยกับเราก่อนเรื่องฟันตัวไหนที่มีปัญหาและก็จะเอ็กซเรย์ฟันนั้นอีกรอบ ซึ่งฟันที่มีปัญหาของหนูนั้นมีสองซี่คือฟันคุดด้านขวาและฟันกรามที่ติดกับฟันคุดเพราะโดนนังคุดมันเบียด จนฟันกรามนั้นเริ่มคลอนและมีรอยผุ นี่แหละคือที่มาของความเจ็บปวดจนต้องตัดใจบอกลาแม้ว่าจะกลัวจนขี้หดตดหายก็ตาม  ยอมรับว่าค่อนข้างขี้ขลาดและกลัวมากกับเข็มฉีดยาและการไปหาหมอฟัน
     เมื่อผู้ช่วยเอ็กซเรย์ฟันเสร็จแล้วก็จะเรียกเรามาคุยว่าฟันมันเป็นแบบนี้นะ ต้องทำอะไรมั้ง บางคำก็ฟังออกบางคำก็ฟังไม่ออกแต่พอเข้าใจและต่อมาหมอฟันก็เข้ามาคุยกับเราอีกรอบ และถามว่าเราต้องการยังไงจะถอนทั้งคู่หรือว่าถอนแค่อันที่ปวดก่อน  หนูเลยตัดใจถอนทั้งคู่และคิดว่าจะถอนตอนนั้นเลยแต่หมอขอดูฟันก่อน ก็มีการจับๆ มองๆ ก่อนจะบอกว่าอย่าเพิ่งถอนดีกว่าให้กินยาก่อนเพราะฟันมันยังปวดอยู่และมีบวม ถ้าถอนตอนฉีดยาคงช่วยไรได้ไม่มาก และหมอก็กลัว infection
ไอ้คำนี้แหละที่ยังงงๆ ว่ามันคือไรแต่ก็พยักหน้ารับ หมอให้ทำไรก็ทำเสร็จแล้วกลับมาบ้านก็ค่อยเปิดดิกชันนารีดูว่ามันแปลว่าอะไร  ก่อนกลับเจ้าหน้าที่ที่เคาเตอร์ก็จะมีเอกสารให้เราซึ่งจะมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เราจะต้องเสีย  ซึ่งเขาประเมินคร่าวๆ เอาไว้ ของหนูเขาคิดยอดทั้งหมด $710 แต่เราจ่ายเองแค่ $142  และก็คุยเรื่องวันเวลานัดหมายอีกรอบ ก่อนจะมีเอกสารไปรับยาอีกที่
     แต่สงสัยอย่างเมืองนอกนี่มันแปลกนะ ไปหาหมอฟันที่นึงแต่เวลาไปเอายาต้องไปเอาที่ fred mayer หรือไม่ก็ carrs ทำไมมันไม่ให้เอาเลยจากคลีนิคหมอฟันทำไมต้องให้เราลากสังขารขับรถไปอีกที่ซึ่งมันไม่ได้ใกล้กันเลย ค่ายาตอนนั้นก็ประมาณ $4 นิดๆ ได้ และหมอก็นัดอีกทีหนึ่งอาทิตย์
     จนถึงวันนัด พอไปถึงก็ไปติดต่อที่เคาเตอร์เหมือนเดิมว่าเรามาแล้ว เขาก็ให้เรานั่งรอสักพักก่อนผู้ช่วยจะมาเรียกชื่อเราและเดินพาเราเข้าห้องเชือด  ผู้ช่วยก็จะชวนคุยโน่นคุยนี่ คือพูดง่ายๆ ทำให้เราสบายใจและเชื่อใจในตัวเขาว่าเขาจะทำให้ดีที่สุด บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ได้แต่เออออตาม เพราะใจนะเต้นตูมตามๆ แทบจะวิ่งหนีกลับบ้านให้ได้
      พอมาถึงในห้องเขาก็จะมีรูปฟันเราโชว์ในคอมฯ ให้ดูและหมอก็เข้ามาคุยด้วย แถมปลอบว่าไม่ต้องกลัวอย่างนั้นอย่างนี้ และบอกว่าถ้าระหว่างทำมีอาการเจ็บหรือเป็นไรให้ยกมือขึ้น ก่อนจะขึ้นเขียงผู้ช่วยก็จะเอาเอกสารมาให้เราอ่านและเซ็นต์รับรอง เนื่องจากภาษาปะกิตก็อ่อนหัดนัก ศัพท์บางคำก็แปลไม่ออกแต่เดาเอาว่าเป็นเอกสารเซ็นต์ยินยอมถ้ามีผลกระทบจากการถอนซึ่งจำได้ว่ามีคำว่า pain , TMJ (temporomandibular joint disorder) และอีกหลายคำแต่จำไม่หมด  ไอ้คำว่า TMJ นี่ก็จำเอามาเปิดดิกชันนารีดูที่บ้านอีกว่ามันแปลว่าไร ถึงได้รู้ว่ามันเกี่ยวกับขากรรไกร จากนั้นก็ขึ้นเขียงเตรียมฉีดยาชา พอฉีดเสร็จสักพักหมอก็จะถามว่า numb หรือยังหรือเรารู้สึกยังไงและหมอก็จะเช็คอีกรอบก่อนถอนว่ามันชาจริงๆ หรือเปล่าโดยเอาไรมาจิ้มๆ พอเรารู้สึกว่าเจ็บก็บอกหมอทีนี้เขาก็ฉีดยาเพิ่มอีกเข็ม สรุปหนูโดนไป 4 หรือ 5 เข็มนี่แหละ และรอสักพักก่อนที่จะลงมือ  ระหว่างที่หมอถอนบอกได้เลยว่าสารพัดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นึกได้ ปู่ย่า ตายาย หนูเรียกให้รวมตัวมาช่วยกันครบทีม ก็คนมันกลัวนี่นา
     พอถอนเสร็จหมอก็จะชมโน่นชมนี่ ว่าเก่ง อดทน ไอ้เราก็บ้ายอได้ยิ้มแหยๆ แต่น้ำตาจะไหล และหมอก็ให้ผู้ช่วยมาดูแลเราต่อ เขาก็ถามว่าเป็นไงมั้ง เขาก็บอกว่าเราปวดบริเวณขากรรไกร ลามไปถึงหู ตรงนี้ใช้ภาษาท่าทางเอาเพราะไม่กล้าพูดกลัวเลือดออก เขาก็เข้าใจเรานะบอกว่ามันปกติไม่มีไร และก็ให้ซองใส่เอกสารการดูแลพร้อมกับถุงประคบเย็น ก่อนจะบอกพาออกไปข้างนอกซึ่งคุณสามีก็นั่งเล่นเกมส์รออย่างสนุกสนาน มีแต่เมียนี่แหละที่กำลังจะเป็นลมเพราะความกลัว
      ก่อนกลับหมอก็ตามออกมาคุยด้วยอีกรอบ เจ้าหน้าที่เคาเตอร์ก็บอกวันนัดดูแผลอีกอาทิตย์นึง ก่อนจะส่งบิลค่าใช้จ่ายจริงให้ ซึ่งสรุปแล้วเสีย $516 แต่เราจ่ายแค่ $94 ซึ่งถือว่าไม่แพงเท่าไหร่สำหรับฟันสองซี่  และก็ทำการจ่ายเงินก่อนที่เขาจะให้เอกสารไปรับยาที่ fred mayer  เจ้าหน้าที่ก็ย้ำว่าถ้ามีปัญหาก็โทรมาหรือมาที่คลีนิคได้  ส่วนค่ายาแก้ปวดที่ไปจ่ายที่ fred mayer ก็ $2.57
    

มากินข้าวต้มกันดีกว่า

     เมื่อวานถอนฟันมาวันนี้เลยยังซ่าแทะตีนไก่ไม่ได้ ตอนนี้เลยต้องกินข้าวต้มประทังชีวิตไปก่อนทั้งๆ ที่เห็นตีนไก่ของพี่ยุแล้วน้ำลายไหล เกิดอาการเสี้ยนจนแทบจะลงแดง หมอบอกให้กินของอ่อนๆ เลยเป็นที่มาของเมนูนี้

 
ข้าวต้มกุ้งสับ ผักไม่ต้องใส่เพราะไม่มี

     

Tuesday, January 10, 2012

บอกลาด้วยความเจ็บปวด

     ไม่ได้ต้องการสร้างกระแสหรือว่าอะไรทั้งสิ้น แต่การบอกลาครั้งนี้เกิดจากความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องทนแบกรับมานานหลายปี แม้จะรู้สึกรักกันอยู่บ้างแต่การลาจากกันตั้งแต่วันนี้ยังดีกว่าลาจากกันเมื่อมันสายไป (ตอนนี้มันก็เริ่มสายไปแล้วแหละ)

      ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไม่มีเธอชีวิตฉันจะเป็นอย่างไร  แต่ฉันคิดว่าฉันทำดีที่สุดแล้วและคิดว่าอนาคตของฉันก็คงจะสดใสกว่าวันนี้ ฉันไม่ต้องการเจ็บปวด และร้องไห้กับเธออีกหลายๆ ครั้งในแต่ละปี ดังนั้นเริ่มต้นปีนี้ฉันขอบอกลาเธอในวันนี้ดีกว่า "ลาก่อนน้องคุดกับน้องเป๋"  แม้จะต้องต่อสู้กับความกล้ามากมายที่จะต้องเผชิญในวันนี้ แต่ขอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องเจ็บปวดเพราะเธอ

      ตอนนี้ฉันหวังว่าพรุ่งนี้ฉันคงจะสามารถยิ้มและไม่ต้องเจ็บปวดเพราะเธออีก แต่ฉันรู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะกลับมาเป็นคนเดิม ตอนนี้ฉันคงได้แต่นั่งนิ่งๆ และภาวนาขอให้ฉันอย่าเจ็บ อย่าปวดมากไปกว่านี้อีกเลย

Good bye my wisdom tooth

Wednesday, January 4, 2012

เรื่องกินเรื่องใหญ่

    นานๆ จะแวะมาที แต่ปีนี้สัญญากับตัวเองว่าจะพยายามมาอัพเดทเหตุการณ์ต่างๆ ให้ทุกอาทิตย์ถ้าเน็ตไม่เน่า หรือคนไม่น็อคเสียก่อน

ว่าแล้วก็มาชมของกินบ้านๆ ที่หน้าตาพิลึกๆ เหมือนคนทำกันหน่อยแล้วกันนะคะ


เร่ิมด้วยแกงจืดก่อนนะคะ  อากาศหนาวๆ ต้องแกงจืดรวมมิตรมั่วๆ แบบนี้

เสร็จแล้วก็มากินข้าวผัดปู  งานนี้ปูจริงๆ เน้นๆ
 
แก้เลี่ยนด้วยผัดเผ็ดกระดูกหมู  เผ็ดสะใจ

แกงเขียวหวานไก่

แกงไตปลา

คิดว่ามันคงเป็นผัดเปรี้ยวหวานประยุกต์นะคะ  แบบใช้ของที่มีในบ้าน

ต้มหมูสามชั้นแบบต้มยำ แต่ไม่ใส่พริก อร่อยแต่มันเยิ้มเชียว เมนูนี้ขอนานๆ กินที

น้ำยาป่าตีนไก่  อันนี้เพิ่งหัดทำเพราะกินของเพื่อนแล้วอร่อยมากกก ติดใจเลยพยายามทำให้ได้ก่อนค่อยให้เพื่อนๆ ชิม อิอิ กินกับขนมจีนสุดยอด

ชีวิตหมูกับผัก ตอน 2

     หลังจากทำงานมาหนึ่งปีกว่าๆ ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านผักเน่าๆ มานานก็ค้นพบว่าตัวเองชอบทำงานที่นี่มาก แม้จะไม่ใช่งานที่ใครหลายคนใฝ่ฝันหรือจะโดนคนบางคนมองแปลกๆ ว่าทำไมเลือกทำงานนี้ไม่ไปหางานที่มีสวัสดิการเริ่ดๆ แต่ทำไงได้ก็คนมันชอบนี่นา แถมทำแล้วสนุกและสบายใจสุดๆ เพราะตัดปัญหาเรื่องเพื่อนร่วมงานกับเจ้านายไป
      หนึ่งปีผ่านมาเพื่อนร่วมงานก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้เราก็มีหนุ่มน้อยหน้าใสมาร่วมวงอีกคน และสาวไทยแสนสวย และน่ารักมาทำพาร์ทไทม์ด้วย ทำให้บรรยากาศครื้นเครง วันๆ ก็คุยกันแต่เรื่องกิน อันนี้แหละที่หนูชอบเพราะกองทัพกระเพาะน้อยๆ ของหนูต้องเดินด้วยท้องก่อนเป็นอันดับแรก
     
บรรยากาศงานเลี้ยงคริสมาสต์ที่ผ่านมา  เสียดายไม่ครบคน
บรรยากาศในห้องทำงาน





แพคผักไปด้วย กินกันไปด้วย แซบหลายเน้ออออออ