My photo
ผู้หญิงตัวกลมๆ หลากหลายอารมณ์ให้ค้นหา

Tuesday, December 14, 2010

ต้มกระดูกหมูผักกาดดอง

 วันนี้เกิดอาการอยากกินไปเสียทุกอย่าง  แต่ไม่รู้จะกินไรเลยชวนคุณสามีไปหากระดูกหมูเพราะว่าวันก่อนซื้อผักชีไว้เยอะแล้วมันทำท่าจะเน่าก็กลัวจะเสียของ จะเอามาทำอย่างอื่นก็ไม่รู้จะทำไร  ต้มใส่ในกระดูกหมูน่าจะดี


     ทุกอย่างก็เหมือนจะดี  ต้มออกมาก็ดีแต่พอมาใส่ผักกาดดองเท่านั้นแหละ  น้ำกลายเป็นสีเหลืองรสออกแปลกนิดๆ ทำเอาชำ้ใจคราวหน้าจะไม่ซื้อผักกาดดองแบบนี้แล้ว เลยตัดใจเทน้ำทิ้งไปครึ่งนึงแล้วใส่น้ำต้มใหม่  รสเลยไม่เข้มผักกาดดองและไม่เหลืองมากค่อยเหมือนต้มกระดูกหน่อย

    ช่วงต้มกระดูกหมูก็อยากกินโน่นกินนี่ไปเรื่อย วันนี้ซื้อมะเขือติดมือมา มองในตู้เจอปลาดุกเหลืออีกตัวจากคราวก่อน เลยจัดการทำเสียก่อนที่มะเขือจะเน่า เลยเป็นที่มาของแกงเผ็ดปลาดุก ใส่มะเขือ หน่อไม้ และข้าวโพดอ่อน  มองๆ แล้วหน้าตาคล้ายกับแกงไตปลา เพราะใช้พริกแกงใต้ทำเลยออกเหลืองๆ

 แต่รสชาดอร่อยถูกใจ  คิดว่าหม้อนี้คงกินได้เป็นอาทิตย์



   หลังจากนั้นก็มองหากับข้าวให้คุณสามี เลยจัดการผัดบล็อคโคลี่กับไก่สับ เห็นข้าวโพดอ่อนเหลือจากทำแกงเผ็ดก็ผัดผสมเข้าไปด้วย  ผัดเยอะหน่อยเพราะจะได้เหลือเก็บไว้คดข้าวห่อให้คุณสามีเอาไปกินตอนเที่ยงอีกมื้อ  งานนี้แม่บ้านขี้เกียจจริงๆ


ก๋วยเตี๋ยวตีนไก กะ ขนมจีนแกงปลาดุก

    เร่ิมด้วยก๋วยเตี๋ยวไก่ ใส่ตีนไก่ด้วย ถ้วยนี้ไม่ต้องถามว่าของใคร
เพราะทั้งบ้านมีคนเดียวกินตีนไก่ อิอิ  เสียดายไม่มีถั่วงอกเลยใส่ผักกะหล่ำปลีแทน ด้วยความอยากให้น้ำซุปหวานแอบใส่แครอทกับหอมใหญ่ลงไปด้วย

ถ้วยนี้ของคุณแม่สามี

ขนมจีนแกงป่าปลาดุก อันนี้ของโปรดมากๆ 
แต่ทำยังไงก็ไม่ได้รสชาติเหมือนที่เขาขายที่นครปฐม

กุ้งผัดผงกะหรี่

     วันนี้ลาภปากมาถึงบ้านแต่เช้า  เพราะเพื่อนแม่ไปจับกุ้งแล้วเขาเอามาฝาก  แต่งานนี้แอบเสียดายนิดนึงที่เขาตัดหัวมันทิ้งไปเสียแล้ว  เลยแอบบอกแม่สามีไปว่าคราวหน้าติดหัวมาก็ดีนะ เพราะหนูกินได้  อิอิ
     ตอนแรกก็ว่าจะแช่แข็งเก็บไว้เพราะเสียดาย  แต่คิดอีกทีกุ้งสดๆ ไม่ได้หากินง่ายๆ จะแช่ทำไมให้เสียของก็เลยกลายเป็นเมนูของวันนี้

กุ้งที่เขาเอามาให้  ใจอยากจะร้องถามว่ากุ้งจ๋าหัวไปไหนนนนน

กุ้งผัดผงกะหรี่

อันนี้กุ้งผัดผงกะหรี่เหมือนกัน แต่ไม่ได้ใส่ไข่ 
เนื่องจากแม่สามีไม่ค่อยกินไข่เลยไม่ใส่ไข่ให้แก เวลาทำก็ทำพร้อมกัน
พอสุกก็ตักของแม่ขึ้นก่อน แล้วค่อยใส่ไข่ตามหลังสำหรับพวกเรากิน

วิธีทำก็ไม่ยาก  แค่มีผงกะหรี่ , ไข่ , ซีอิ๋วขาว , น้ำปลา , น้ำตาล ผักตามที่มีหรือที่ชอบกิน แต่งานนี้แอบใส่น้ำพริกเผาลงไปนิดนึงด้วย เพราะแอบเห็นบางสูตรเขาใส่ เราก็ลองทำตามเขามั้งเผื่อมันจะอร่อยขึ้น

แกงจืดไข่น้ำ กับ หมูผัดแตงกวา

เมนูวันนี้ง่ายๆ สบายๆ แถมอุปกรณ์ก็ไม่มากมายเท่าไหร่  เหมาะสำหรับวันอาทิตย์ที่แสนจะขี้เกียจ
แกงจืดไข่น้ำ
เมนูนี้ง่ายคิดว่าเพื่อนๆ คงทำได้ทุกคน



หมูผัดแตงกวา


ใจอยากได้แตงกวาเยอะๆ แต่เผอิญเหลือแตงอยู่ลูกเดียวเอง เลยต้องใส่หมูเยอะหน่อย แถมแตงกวาที่นี่ลูกนึงเหรียญกว่าแนะ บางทีเกือบสองเหรียญ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชีวิตต้องมากินแตงกวาราคาแพงขนาดนี้ อยู่บ้านเราแตงกวากองนึงห้าบาทเองแถมทั้งแจกทั้งแถม

แกงส้มแก้หวัด

แกงส้มปลาเทร้าต์ กับหน่อไม้ดอง
เครื่องแกงใช้แบบซอง คิดว่าน่าจะของโลโบ้ เติมพริกเพิ่มเพิื่อความเผ็ดสะใจกับมะนาวรับรองกินแล้วหวัดกระเจิง

 ปลาเทร้าต์ทอดขมิ้น 
ไม่แน่ใจว่าขมิ้นไหมแต่มันมีอยู่ในบ้านและสีเหลืองๆ ให้สมมุติไปว่าเป็นขมิ้น โดยใช้ผงกระหรี่กับเกลือหมักปลานะ  เมนูง่ายๆ แต่กินคู่กันอร่อยมากเลยคะ

(ปลาที่ใช้เป็นปลาที่ไปตกมาได้ แบ่งแกงส้มกับทอด อาจจะดูบาปแต่ไม่ได้ทำบ่อย และเราเอามากินหวังว่าคงไม่บาปมากนัก อิอิ)

ข้าวหมูแดงกับซุปร้อนๆๆ จ้า

    ข้าวหมูแดง...หนูหมักหมูไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ใช้ผงหมักของโลโบ้แล้วเพิ่มน้ำผึ้ง กับเกลือลงไปอีกนิดหน่อย  พอตกเย็นก็เอามาอบจนสุกงานนี้ได้รับคำชมจากคุณแม่สามีว่าแตงกวาสวย

     มิโซซุปแปลงร่าง กินกับข้าวหมูแดงวันนี้ ที่แปลงร่างเพราะว่าอยากใส่ผักอื่นๆ เพิ่มมั้งจะได้ดูมีประโยชน์ ส่วนรสชาติก็ไม่ถึงกับแย่


     ส่วนนี้มิโซซุปของจริง หนูชอบกินเวลาหนาวๆ แล้วขี้เกียจ มันก็อร่อยดี

16 สิงหาคม 53 ผลผลิตจากสวนน้อย
    หนูตื่นเต้นและดีใจสุดๆ ที่ต้นถั่วออกลูกให้กินแล้ว  เพราะปีที่แล้วลองปลูกมันดันตายหมด  ปีนี้ขึ้นมาสมใจเลยตั้งเป้าว่าปีหน้าจะปลูกให้เป็นแนวยาวรอบรั้วเลย  
     อันนี้เป็นสตอเบอรี่ที่ลองปลูกในกระถางดู  และกะว่าจะลองยกเข้าบ้านตอนหน้าหนาว  ส่วนต้นที่ลงดินไว้ก็คงต้องปล่อยมันไป  แต่ยอมรับอย่างนึงว่าสตอเบอรี่เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่ายมากทนต่ออากาศหนาวและหิมะ ปีที่แล้วต้นสตอเบอร์รี่ที่บ้านถูกฝังอยู่ใต้หิมะตั้งหลายเดือน พอถึงหน้าร้อนมันก็แตกกิ่งก้านสาขาออกมาใหม่ ดังนั้นมันช่างเหมาะกับคนขี้เกียจอย่างหนู ที่อยากมีต้นไม้แต่ขี้เกียจปลูกตลอดเวลา  แต่สิ่งที่ต้องเตรียมรับมือคือ "ทาก"  ถ้าใครคิดจะปลูกให้ระวังไว้ให้ดี เพราะจะมีเจ้าแขกไม่ได้รับเชิญแอบมากิน และที่ร้ายกว่านั้นคือมันจะกินแต่ลูกสีแดง ลูกสีเขียวหรือยังไม่สุกดีมันไม่สนใจ หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันรู้ได้ยังไงว่าลูกนี้สีแดงหรือสีเขียว แต่มันฉลาดมาก  ส่วนศัตรูอีกอย่างคือฝน เพราะฝนจะทำให้ต้นเปียกแฉะตลอดเวลา ทำให้ลูกสตอเบอร์รี่เป็นราได้ง่ายและเน่าตายไปในที่สุด

ไก่อบสับปะรด



อุปกรณ์
    ไก่  ,  สับปะรด , น้ำผึ้ง , เกลือ , ซอสหอยนางรม , พริกไทย
    ถ้าที่บ้านใครขาดอะไรก็มั่วอย่างอื่นผสมเอาก็ได้  ขั้นแรกก็เอาไก่มาคลุกเกลือ  น้ำผึ้ง พริกไทย และซอสหอยนางรม ถ้าให้ดีก็เอาน้ำสับปะรดใส่ไปด้วยเล็กน้อย  รสมันจะได้กลมกล่อม หมักไว้ประมาณชั่วโมง หรือมากกว่านั้นตามความสะดวก  แล้วค่อยเอาไปอบจนสุก
     ไก่จะออกรสหวานๆ เค็มนิดๆ แต่จะได้รสเปรี้ยวจากสับปะรดที่เราหั่นใส่ไปด้วย รับรองว่าแก้เลี่ยนได้ดี

ราดหน้าผักรวม



    ตอนนี้อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น  หนูหันซ้ายหันขวาไปรู้จะทำไรกินเลยเอาเมนูนี้ เพราะกินแล้วอุ่นท้องดี ยิ่งเติมพริกเยอะๆ ยิ่งเผ็ดร้อนสะใจ






ผักโขมอบชีส




อุปกรณ์  มอลซาเรลลาชีส (อันนี้หนูไม่มีเลยเอาชีสที่มีในบ้านใส่ๆ ไป)
            เกลือ , พริกไทยดำ , กระเทียมสับ , หอมใหญ่สับ , แฮม
            น้ำมันมะกอก  (อันนี้หนูก็ไม่มีเลยใช้เนยเค็มแทน)
            นมสด (ในสูตรเขาว่าใช้วิปปิ้งครีมจะอร่อยกว่า แต่ที่บ้านไม่มีคะ) 
วิธีทำ
     เอาผักโขมมาต้มให้เปื่อย แล้วแช่ในน้ำเย็น จากนั้นก็เอามาบีบน้ำออกก่อนจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ (หนูใช้สับเพราะขี้เกียจบรรจงทำ) จากนั้นเอาเนยใส่กะทะผัดหอมใหญ่ กระเทียมจนสุก และเอาแฮมปนลงไป ผักโขม พริกไทย เกลือ  นมสด ผัดๆจนเข้ากัน
(เจอบางสูตรเขาว่าให้ละลายแป้งใส่ไปด้วยมันจะได้เหนียว หนูก็ลองกับเขาด้วย  งานนี้มั่วตลอด)  และช่วงที่ทำผักโขมเราก็วอร์มเตาอบด้วยไฟ 350 องศา สิบนาที พอทุกอย่างเสร็จ ไฟก็พร้อมทันที และก็เอาผักโขมที่ผัดเสร็จแล้วใส่ถาดที่เตรียมแล้ว แล้วเอาชีสโรยตามความพอใจ  แล้วใส่เตาอบ 20 - 30 นาที
     ทำครั้งแรกออกมาไม่น่าเกลียดเท่าไหร่  แต่รสชาติต้องรอคุณสามีมาชิมก่อน อิอิ

ผัดสามสหาย


      หลังจากหนูด้อมๆ มองๆ ตู้เย็นก็ไปเจอกับซากมันแกว ที่ซื้อมาหลายวันด้วยความคิดอยากจะหัดทำขนมจีบ แต่มันก็ได้แค่คิดเพราะยังไม่ได้ลอง มันแกวก็นอนเหี่ยวคาตู้ วันนี้เลยต้องสะสาง เลยกลายเป็นที่มาของผัดสามสหาย

      อุปกรณ์ไม่มีไรมาก มีถั่วลันเตาจากสวนเราเอง, มันแกว , แครอท และกุ้ง  เอามาผัดเหมือนผัดผักทั่วไป แต่หนูสับพริกใส่ลงไปแก้เลี่ยนนิดหน่อย พร้อมกระเทียม แค่นี้ก็ได้แล้วกับข้าวมื้อเย็นแสนอร่อยและประหยัด ที่สำคัญมีคุณค่าทางอาหารด้วย  แต่ไม่แน่ใจอยู่อย่างว่ามันแกวเหี่ยวมันจะมีคุณค่าทางอาหารมากแค่ไหน ถ้าใครมีความรู้ก็บอกกันด้วยแล้วกัน

Monday, December 13, 2010

รถเมล์เมืองนอก อลาสก้า

12 สิงหาคม 53
 ครั้งแรกของการขึ้นรถเมล์
     พูดถึงการขึ้นรถเมล์เมืองนอกแล้ว  เพื่อนๆบางคนอาจจะยังนึกภาพไม่ออกเพราะไม่เคยขึ้น  แต่หนูขึ้นเกือบทุกวันเลยเจอประสบการณ์แปลกๆ เยอะมาก แต่ที่จะเล่าวันนี้เป็นประสบการณ์การขึ้นรถเมล์ครั้งแรก 
     ด้วยความที่ภาษายังอ่อนมากกกกก แถมยังไม่มีประสบการณ์กับรถเมล์ที่มันทันสมัยกว่ารถเมล์ตามบ้าน ที่จะมีกระเป๋ารถเมล์มาเก็บเงินก็เลยไม่ค่อยรู้ว่ามันต้องทำยังไง  จำได้ว่าวันแรกที่ขึ้นรถเมล์พอคนขับเปิดประตูหนูก็รีบตรงไปที่คนขับและบอกว่า  This is my first time to take a bus i don't know how to do???  คนขับมองแวบนึงก่อนจะชี้นิ้วไปที่กล่องไรสักอย่าง แต่ดีตรงมันมีรูปเงินอยู่เราเลยพอเดาได้ เลยถามต่อว่า How much? คนขับมองอีกแวบแล้วบอกอย่างรวดเร็วมากว่า $1.75  ว่าแล้วก็หยอดเหรียญลงไปจนครบแล้วถึงจะไปนั่งได้ ช่วงขั้นตอนนี้จะมาชักช้าไม่ได้เลยเพราะมีคนในรถนั่งมองมาตรงเราเป็นตาเดียว
      หนูก็ติดนิสัยมาจากบ้านเราว่านั่งรถเมล์นั่งใกล้คนขับยิ่งดี เพราะเวลาจะลงป้ายได้บอกง่ายๆ ทีนี้หนูก็เลือกนั่งที่นั่งใกล้ที่สุดพอนั่งลงเท่านั้นแหละดันมีคนนั่งข้างหลังฝั่งตรงข้ามคู่หนึ่งมองแล้วซุบซิบๆ เราก็คิดในใจตูทำอะไรผิดอีกแล้วนี่ก็พยายามนั่งเรียบร้อยสุด พลางก็สำรวจตัวเองว่าซิปก็รูดแล้วนี่นา รองเท้าก็ไม่เลอะหรือมีกลิ่น แล้วมันมองมาทางตูทำไม พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายรูปคนนั่งรถเข็น ถึงได้รู้ว่าตรงนั้นมันสำหรับคนพิการว่าแล้วหนูก็ค่อยๆเขยิบๆ เลื่อนตัวลงไปนั่งเก้าอี้ตัวอื่นแทน
       ด้วยความที่ขาไปมัวแต่นั่งระแวงเลยไม่ได้สังเกตว่าเวลาคนลงเขาทำกันยังไง  ไอ้ตอนไปยังดีที่ลงตรงสุดสายเลยไม่มีปัญหา แต่อีตอนขากลับนี่สิดันเกิดปัญหาหนักอกขึ้นมา นั่งคิดไปตลอดทางไหนจะต้องคอยดูป้ายที่จะลง แถมยังต้องสอดส่ายสายตาหาที่กดกริ่งมองไปบนหัวก็ไม่เจอ ข้างๆก็ไม่เจอแล้วตูจะทำไงนี่ กระเป๋ารถเมล์ก็ไม่มีแถมคนขับยังไม่ค่อยจะพูดอีก คนบนรถก็นั่งกันเงียบอีกไม่ไกลก็ใกล้จะถึงบ้านแล้ว  เห็นข้างๆ หน้าต่างมันมีสายสีเหลืองๆ แต่ไม่รู้ไว้ทำไร เห็นแต่ข้างกระจกมันเขียน Emergency และมีคำไรอีกไม่รู้ต่อท้ายยาวๆ แปลก็แปลไม่ออกด้วยความที่ภาษาอังกฤษนั้นดีมาก ในใจก็คิดว่ามันคงจะเหมือนรถไฟบ้านเราที่มีสายไว้สำหรับดึงเวลาเหตุฉุกเฉิน คิดในใจว่าถ้าเราดึงเขาคงจะว่าเราแน่ๆ เพราะมันไม่มีเหตุฉุกเฉิน
        ทีนี้วินาทีที่กลัวก็มาถึง ป้ายรถที่จะลงก็อยู่ไม่ไกล เหงื่อก็แตกพลั๊กๆ ด้วยความกลัวเพราะไม่รู้ว่าถ้าหลงไปจากตรงนี้แล้วรถมันพาไปไหน สายตาก็เหลือบไปเห็นปุ่มกดที่มันแอบไว้ใกล้ที่จับหลังคนขับ เหมือนพระเจ้าช่วยลูกหมูตัวน้อยๆ ให้รอดตาย  หนูรีบวิ่งไปกดทันทีและแล้วหนูก็ได้ลงยังป้ายที่ต้องการ
     พอกลับถึงบ้านก็รีบโทรไปเล่าให้คุณสามีฟัง คุณสามีก็เลยบอกว่าไอ้สายเหลืองๆ นั่นแหละไว้สำหรับดึงให้รถมันหยุด  ส่วน Emergency นั่นสำหรับหน้าต่าง และแล้วหนูก็ถึงบางอ้ออออออออออออ

    

แนะนำตัวจ้า

ชื่อหนู    ชื่อจริง จันทร์กานต์  McGuire  (นามสกุลเขียนเป็นไทยไม่ถูกคะ)
อยู่อลาสก้า เมืองแองคอเรจคะ  มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ธันวาคม 2008  
ตอนนี้อยู่บ้านกับเรียนภาษา ที่ ESL แต่ภาษาก็ยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่นักเนื่องจากค่อนข้างขี้อาย  หวังว่าคงจะมีเพื่อนคนไหนสักคนช่วยดีดตัวขี้อายออกจากตัวให้หน่อย 

เบอร์รี่ เบอร์รี่ มีประโยชน์

30 สิงหาคม 53

   เมื่ออาทิตย์ก่อนไปงานแต่งงานเพื่อนบนภูเขา ก็เห็นคนเยอะมากๆ ถือถังกันคนละใบสองใบ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ถามเขาว่ามาทำไรกันถึงได้รู้ว่าบนภูเขาแถวนั้นมี blueberry ทุกคนพร้อมใจมาเก็บกัน แต่ด้วยชุดที่แต่งมาไม่อำนวยก็เลยต้องตัดใจ
  

 สถานที่จัดงานแต่งงาน

 บลูเบอร์รี่
    ต้นเล็กมาก อยู่บนเขาคนเก็บเป็นร้อย ส่วนเอามาทำไรนั้นคงไม่ต้องบอกกันเพราะคิดว่าเพื่อนๆ คงจะรู้กันแล้ว

Crow berry
     ต้นนี้ไม่ค่อยมีคนเก็บแต่มีเยอะมากๆๆ คงเพราะไม่นิยมกินกัน ไปเจอฝรั่งบางคนเก็บเพราะเขาบอกว่าบลูเบอร์รี่คนเก็บเยอะ เลยเอาไอ้นี่แทน เขานิยมเอาไปทำแยม หรือไม่ก็พายและเจลลี่ เห็นว่าทำออกมาแล้วรสชาติอร่อยมาก แต่อย่าเอามากินสดๆ เท่านั้นเอง ส่วนกินสดๆ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านั้นก็ไม่รู้เพราะลืมถาม

    ส่วนต้นนี้ไปเจอมาบนเขาเมื่อวาน  มองแล้วมองอีกว่าหน้าตามันคุ้นๆ เลยเรียกคุณสามีมาดู แล้วช่วยกันเปิดเน็ตดูว่าเป็นต้นไร  โชคดีที่ตรงนั้นมีสัญญาณเลยใช้ได้  เห็นเขาว่าเป็นบลูเบอร์รี่ด้วยแต่สองจิตสองใจ   ใจนึงไม่กล้าเพราะกลัวตาย  แต่อีกใจอยากเก็บแต่อุปกรณ์เก็บก็ไม่ได้เตรียมไป มีแค่ถุงเล็กๆ ติดกระเป๋า แต่ความเสียดายมันมีมากกว่าเลยตัดใจเก็บแถมแอบชิมด้วย เพราะคิดว่าดูจากเน็ตแล้วมันบอกว่ากินได้  ชิมแล้วรสชาติมันก็อร่อยดี เปรี้ยวๆ หวานๆ (อันนี้ห้ามทำตามเด็ดขาด เพราะเสี่ยงมาก) แต่หนูชิมแค่เม็ดเดียวเพราะคิดว่าถ้ามันมีพิษมันคงไม่ถึงกับตายทันทีเพราะกินไปน้อย (ความคิดค่อนข้างโง่นิดนึง)  ชิมเสร็จก็รีบบ้วนทิ้งไม่ได้กลืนลงไปเพราะยังรักชีวิตน้อยๆ อยู่  คุณสามีก็บอกว่าเก็บใส่ถุงไปก่อน ถ้ากินไม่ได้ค่อยเอาทิ้งถังขยะ  พอกลับมาถึงบ้านก็รีบเอาไปให้คนข้างบ้านดู  คนแก่ข้างบ้านก็บอกว่านั่นคือบลูเบอร์รี่ป่า ทำพายอร่อยมาก  ถามคุณแม่สามีๆ ก็บอกว่าบลูเบอร์รี่ แล้วคุณแม่สามีก็เสี่ยงตายชิมให้เราดูอย่างเอร็ดอร่อย สรุปคือมันกินได้จริงๆ ด้วย
    งานนี้เลยออกจะเสียดายที่เก็บมาน้อย  เพราะบนเขาเยอะมากๆ แถมไม่มีคนเก็บเลย แถมยังเก็บง่ายกว่าไอ้ต้นบนเขาที่ต้นเล็กๆ อีก
    แต่อยากรู้ว่าแถวบ้านเพื่อนๆ มีต้นเบอร์รี่กันไหม ต่างกันไหม เผื่อจะได้เอามาประดับความรู้หน่อย

เอารูปชุดที่ใส่มาให้ดูคะ  ทีนี้โอ้ทจะได้เข้าใจว่าทำไมหนูไม่ไปเก็บเบอร์รี่ด้วยชุดนี้
พ่อหมู <: :> แม่หมู

วันที่รอคอย

29 สิงหาคม 53



    อาจจะฟังดูเหมือนนิยายสักนิดนึง แต่ก็รอคอยวันนี้จริงๆ นะคะ เพราะว่าที่นี่ฝนตกตลอดเลย ดังนั้นวันไหนมีแดด  ฟ้าโปร่งมันช่างเป็นสวรรค์น้อยๆ ของหนูจริงๆ
 โชว์ตัวลูกชาย และลูกสาวที่บ้านหน่อย


      นี่เป็นบรรยากาศบริเวณ  McHugh Creek  ซึ่งเป็นสถานที่ที่หนูชอบมาอีกที่หนึ่งเพราะได้ทั้งเดินป่า  ดูสายน้ำ  แถมบนเขายังมี Dall sheep มองไปด้านหน้าก็มีภูเขาและทะเล เรียกว่ามาที่เดียวได้ครบทุกอย่าง ยิ่งถ้ามาถูกจังหวะที่นี่จะเต็มไปด้วยดอกไม้สีม่วงบนเขา สวยมากๆ แต่ปีนี้ฝนตกเยอะดอกไม้เลยไม่ค่อยมี

ปลาตัวแรก

16 สิงหาคม 53...     ด้วยความที่หนูอยู่อลาสก้ามาปีกว่าแล้ว และเห็นว่าที่นี่มีกิจกรรมยอดฮิตในช่วงหน้าร้อนคือการตกปลา  ปีนี้ก็เลยชวนคุณสามีลองไปตกปลาดูกับเขามั้ง  ที่สำคัญคืออยากมีปลาสดๆ ไว้กิน ไม่อยากไปซื้อปลาแช่แข็งกินแล้ว  ว่าแล้วก็ลงทุนซื้ออุปกรณ์ตกปลาแต่คุณสามีก็ไม่ได้ตกปลามาเป็นสิบๆปี งานนี้ก็ต้องรื้อฟื้นความมั่วกันอีกครั้ง
     วันแรกที่ไปตกปลาหนูกับคุณสามีก็เตรียมถังใบใหญ่ กะไว้เต็มที่ว่าเราต้องได้ปลากลับบ้านเต็มถังแน่นอน ลงทุนขับรถกันไปร้อยกว่าไมล์แต่ปรากฎว่าแห้วทั้งคู่
     พออีกวันก็เตรียมวางแผนไปตกปลาที่ใหม่  งานนี้ลงทุนไปซื้อฮุกตัวใหม่กะว่าต้องได้ปลาตัวใหญ่แน่นอน ตกที่ creek แรกไม่ได้ปลา ก็คิดกันว่าสงสัยที่นี่จะไม่ถูกกับเรา  ก็เปลี่ยนไป creek ถัดไปอีก  แต่ก็ไม่ได้ปลาอีกเหมือนเดิม  ที่เจ็บใจไปกว่านั้นไอ้คนข้างๆ ดันตกได้นี่สิ ตัวเดียวไม่เท่าไหร่ ดันตกได้ติดต่อกันสองตัว  คราวนี้เลยย้ายที่อีกรอบ ว่าแล้วความซวยก็มาเยือนหนูตกไปฮุกดันไปติดขอนไม้ในน้ำ  ต้องตัดใจตัดสายทิ้ง มาถึงคุณสามีเหวี่ยงไปติดต้นไม้ฝั่งตรงข้าม  สรุปงานนี้เสียฮุกตัวใหม่ไปสองตัวอย่างน่าเสียดาย
    และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง  เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาคุณสามีเลยชวนไปลองตกอีกรอบ ที่ Jim creek ไอ้เราก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน  พอไปถึงเท่านั้นแหละอยากจะร้องกลับเพราะทางเข้าเป็นทางสำหรับพวกขับรถวิบาก  งานนี้ถูกใจคุณสามีมาก  หนูเลยคิดในใจว่าเขาชวนมาเพื่อตกปลาหรือว่ามาขับรถเล่นกันแน่
    แต่ที่นี่เป็นที่ตกปลายอดนิยมจริงๆ มีคนมาเยอะมาก หนูกับคุณสามีเลยต้องซอกแซกหาที่คนไม่เยอะ 

อันน้ีรูปบรรยากาศที่ Jim Creek


ปลาตัวแรกของปีนี้ ด้วยความสามารถของคุณสามี

ผลงานแปลกๆ

30 กันยายน 53...     ใจจริงอยากทำผ้าพันคอ  แต่ว่าเกิดเบื่อครึ่งทางและเห็นว่าทำใหญ่ไปด้วยเลยดัดแปลง คิดว่าที่ใหญ่เพราะใช้ไหมแบบใหญ่ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้เลยตั้งใจว่าคราวหน้าจะลองถักผ้าพันคอดูกับไหมนี่เพียงแต่ว่าจะลดขนาดให้แคบลงอีกเพราะกลัวว่ามันจะหนักไป  ส่วนที่ทำนี่ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไรแต่มันก็อุ่นดีเหมือนกันเพียงแต่รูปร่างอาจจะดูเพี้ยนๆ ไปสักนิดเพราะทำตามใจคนทำไม่ได้ทำตามแบบ 

วิธีผูกแบบที่หนึ่ง

วิธีผูกแบบที่สอง (มั่วเอานะ)

ผ้าพันคอสับปะรด

15 กันยายน53...    งานนี้ต้องขอบคุณพี่ยุที่ให้แพทเทิร์นมา  แต่หนูเอามาเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยโดยทำตามที่ถนัดและชอบ และอีกอย่างคือหนูทำมั่ว งานนี้ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ทำจนลืมเข้าห้องไปอ่านหนังสือกับเพื่อนๆ เพราะไฟกำลังลุกโชน หวังว่าเพื่อนๆ คงไม่ว่ากันนะคะ  เสียดายที่ไม่มีไหมพรมเหมือนกับต้นแบบไม่งั้นคงจะสวยและนิ่มกว่านี้



ผลผลิตจากสวน

16 สิงหาคม 2553

    หนูตื่นเต้นและดีใจสุดๆ ที่ต้นถั่วออกลูกให้กินแล้ว  เพราะปีที่แล้วลองปลูกมันดันตายหมด  ปีนี้ขึ้นมาสมใจเลยตั้งเป้าว่าปีหน้าจะปลูกให้เป็นแนวยาวรอบรั้วเลย  
     อันนี้เป็นสตอเบอรี่ที่ลองปลูกในกระถางดู  และกะว่าจะลองยกเข้าบ้านตอนหน้าหนาว  ส่วนต้นที่ลงดินไว้ก็คงต้องปล่อยมันไป  แต่ยอมรับอย่างนึงว่าสตอเบอรี่เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่ายมากทนต่ออากาศหนาวและหิมะ ปีที่แล้วต้นสตอเบอร์รี่ที่บ้านถูกฝังอยู่ใต้หิมะตั้งหลายเดือน พอถึงหน้าร้อนมันก็แตกกิ่งก้านสาขาออกมาใหม่ ดังนั้นมันช่างเหมาะกับคนขี้เกียจอย่างหนู ที่อยากมีต้นไม้แต่ขี้เกียจปลูกตลอดเวลา  แต่สิ่งที่ต้องเตรียมรับมือคือ "ทาก"  ถ้าใครคิดจะปลูกให้ระวังไว้ให้ดี เพราะจะมีเจ้าแขกไม่ได้รับเชิญแอบมากิน และที่ร้ายกว่านั้นคือมันจะกินแต่ลูกสีแดง ลูกสีเขียวหรือยังไม่สุกดีมันไม่สนใจ หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันรู้ได้ยังไงว่าลูกนี้สีแดงหรือสีเขียว แต่มันฉลาดมาก  ส่วนศัตรูอีกอย่างคือฝน เพราะฝนจะทำให้ต้นเปียกแฉะตลอดเวลา ทำให้ลูกสตอเบอร์รี่เป็นราได้ง่ายและเน่าตายไปในที่สุด